สถิติผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์

 

ประวัติความเป็นมาภาษาซี

 

        ภาษาซีเป็นภาษาที่มีความใกล้เคียงกับภาษาระดับต่ำ (Low-Level Language) จึงทำให้นักพัฒนาโปรแกรม สามารถที่จะกำหนดรายละเอียดของโปรแกรมให้เข้าถึงการทำงานในส่วนต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ให้มากที่สุดเพื่อให้เกิดความเร็วในการทำงานสูงสุด และในขณะเดียวกันภาษาซีก็ยังมีความเป็นภาษาระดับสูง (High-Level Language) ทำให้ผู้พัฒนาสามารถที่จะพัฒนาโปรแกรมได้ โดยเน้นไปที่การแก้ปัญหาที่ต้องการได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องคำนึงถึงฮาร์ดแวร์ใด ๆ ภาษาซีเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1972 ผู้คิดค้นคือ นายเดนนิส  ริทชี่  (Dennis Rittchie) โดยพัฒนามาจากภาษา B และ ภาษา BCPL แต่ยังไม่มีการใช้งานอย่างกว้างขวางนัก ในปี ค.ศ. 1978 Brain Kernighan ได้ร่วมกับ Dennis Ritchie มาพัฒนามาตรฐานของภาษาซีเรียกว่า K&R ทำให้มีผู้สนใจเกี่ยวกับภาษาซีมากขึ้น จึงเกิดภาษาซีอีกหลายรูปแบบเพราะยังไม่มีการกำหนดรูปแบบภาษาซีที่เป็นมาตรฐาน และในปี 1988 Ritchie  จึงได้กำหนดมาตรฐานของภาษาซีเรียกว่า ANSI C เพื่อใช้เป็นตัวกำหนดมาตรฐานในการสร้างภาษาซีรุ่นต่อไปภาษาซี เป็นภาษาซีระดับกลางเหมาะสมสำหรับการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง เป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นมากคือใช้งานได้กับเครื่องต่างๆ ได้และปัจจุบันภาษาซีเป็นภาษาพื้นฐานของภาษาโปรแกรมรุ่นใหม่ ๆ เช่น C++

 

ขั้นตอนการพัฒนาโปรแกรมภาษาซี


     ขั้นตอนที่ 1 เขียนโปรแกรม (source code)
      ใช้ editor เขียนโปรแกรมภาษาซีและทำการบันทึกไฟล์ให้มีนามสกุลเป็น .c  เช่น  work.c เป็นต้น editor  คือ โปรแกรมที่ใช้สำหรับการเขียนโปรแกรม  โดยตัวอย่างของ editor  ที่นิยมนำมาใช้ในการเขียนโปรแกรมได้แก่  Notepad,Edit ของ Dos ,TextPad  ,Dev C++  และ  EditPlus  เป็นต้น ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเลือกใช้โปรแกรมใดในการเรียนโปรแกรมก็ได้  แล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล

    ขั้นตอนที่  2 คอมไพล์โปรแกรม (compile)
       นำ source code จากขั้นตอนที่ 1 มาทำการคอมไพล์  เพื่อแปลจากภาษาซีที่มนุษย์เข้าใจไปเป็นภาษาเครื่องที่คอมพิวเตอร์เข้าใจได้  ในขั้นตอนนี้คอมไพเลอร์จะทำการตรวจสอบ  source code  ว่าเกิดข้อผิดพลาดหรือไม่หากเกิดข้อผิดพลาด จะแจ้งให้ผู้เขียนโปรแกรมทราบ  ผู้เขียนโปรแกรมจะต้องกลับไปแก้ไขโปรแกรมและทำการคอมไพล์โปรแกรมใหม่ อีกครั้ง หากไม่พบข้อผิดพลาด  คอมไพเลอร์จะแปลไฟล์  source code จากภาษาซีไปเป็นภาษาเครื่อง (ไฟล์นามสกุล .obj) เช่น ถ้าไฟล์ source code ชื่อ work.c ก็จะถูกแปลไปเป็นไฟล์  work.obj  ซึ่งเก็บภาษาเครื่องไว้เป็นต้น compile เป็นตัวแปลภาษา รูปแบบหนึ่ง  มีหน้าที่หลักคือการแปลภาษาโปรแกรมที่มนุษย์ เขียนขึ้นไปเป็นภาษาเครื่อง โดยคอมไพเลอร์ของภาษาซี คือ  C  Compiler ซึ่งหลักการที่คอมไพเลอร์ใช้  เรียกว่า  คอมไพล์ (compile)  โดยจะทำการอ่านโปรแกรมภาษาซีทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ  แล้วทำการ แปลผลทีเดียว นอกจากคอมไพเลอร์แล้ว ยังมีตัวแปลภาษาอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า  อินเตอร์พรีเตอร์การอ่านและแปลโปรแกรมทีละบรรทัด  เมื่อแปลผลบรรทัดหนึ่งเสร็จก็จะทำงานตามคำสั่งในบรรทัดนั้น  แล้วจึงทำการแปลผลตามคำสั่งในบรรทัดถัดไป  หลักการที่อินเตอร์พรีเตอร์ใช้เรียกว่า อินเตอร์เพรต (interpret)

 

     ข้อดีและข้อเสียของตัวแปลภาษาทั้งสองแบบมีดังนี้

 

ตัวแปลภาษา

ข้อดี

ข้อเสีย

คอมไพเลอร์

- ทำงานได้เร็ว เนื่องจากทำการแปลผลทีเดียว แล้วจึงทำงานตามคำสั่งของโปรแกรมในภายหลัง

- เมื่อทำการแปลผลแล้ว  ในครั้งต่อไปไม่จำเป็นต้อง

ทำการแปลผลใหม่อีก เนื่องจากภาษาเครื่องที่แปล

ได้จะถูกเก็บไว้ที่หน่วยความจำสามารถเรียกใช้งาน
ได้ทันที

เมื่อเกิดข้อผิดพลาดขึ้นกับโปรแกรมจะ

ตรวจสอบหาข้อผิดพลาดได้ยาก เพราะ

ทำการแปลผลทีเดียวทั้งโปรแกรม

อินเตอร์พรีเตอร์

- หาข้อผิดพลาดของโปรแกรมได้ง่ายเนื่องจากทำ

การแปลผลทีละบรรทัด

- เนื่องจากทำงานทีละบรรทัดดังนั้นจึงสั่งให้

โปรแกรมทำงานตามคำสั่งเฉพาะจุดที่ต้องการได้

- ไม่เสียเวลารอ การแปลโปรแกรมเป็นเวลานาน

ช้า เนื่องจากที่ทำงานทีละบรรทัด

 

      ขั้นตอนที่  3  เชื่อมโยงโปรแกรม (link)
        การเขียนโปรแกรมภาษาซีนั้นผู้เขียนโปรแกรมไม่จำเป็นต้องเขียนคำสั่งต่าง ๆ ขึ้นใช้งานเอง  เนื่องจากภาษาซีมีฟังก์ชันมาตรฐานให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเรียกใช้งานได้ เช่น  การเขียนโปรแกรมแสดงข้อความ “Buachedwittaya” ออกทางหน้าจอ  ผู้เขียนโปรแกรมสามารถเรียกใช้ฟังก์ชั่น  printf() ซึ่งเป็นฟังก์ชั่น มาตรฐานของภาษาซีมาใช้งานได้  โดยส่วนการประกาศ (declaration) ของฟังก์ชั่นมาตรฐานต่าง ๆ จะถูกจัดเก็บอยู่ในเฮดเดอร์ไฟล์แต่ละตัว แตกต่างกันไปตามลักษณะการใช้งาน ด้วยเหตุนี้ภาษาเครื่องที่ได้จากขั้นตอนที่ 2  จึงยังไม่สามารถนำไปใช้งานได้ แต่ต้องนำมาเชื่อมโยงเข้ากับ  library  ก่อน  ซึ่งผลจากการเชื่อมโยงจะทำให้ได้  executable program (ไฟล์นามสกุล.exe  เช่น  work.exe)  ที่สามารถนำไปใช้งานได้

 

    ขั้นตอนที่ 4 ประมวลผล (run)
        เมื่อนำ executable program  จากขั้นตอนที่ 3 มาประมวลผลก็จะได้ผลลัพธ์  (output) ของโปรแกรมออกมา (ถ้ามี)

 

 

 

      การใช้โปรแกรม Dev C++  ในการพัฒนาโปรแกรมภาษาซี

 

  1. เปิดโปรแกรม Dev C++  คลิก start  >   Bloodshed Dev C++    >  Dev C++    แสดงดังรูป

 

 

  2. คลิก  File > New > Source File   ดังรูป   เพื่อพิมพ์ Source code 

 

 

  3. ให้พิมพ์ source code  ลงในกระดาษ ดังรูป

 

 

  4. Save file โดยไปที่ File > Save As และทำการตั้งชื่อ File โดยให้มีนามสกุลว่า .cpp   ดังรูป   ตั้งชื่อไฟล์นี้ว่า first   ใส่นามสกุล .cpp

 

 

  5. ทำการแปลโปรแกรม ( Compile )  โดยการให้เรากด ctrl+F9 โปรแกรมก็จะทำการแปลโปรแกรม ( Compile ) และ ถ้าเราเขียนโปรแกรมไม่ผิดก็จะ แสดงผลลัพธ์ออกมาดังรูปต่อไปนี้

 

 

  6. กดปุ่ม close จากนั้นรันโปรแกรม ด้วยการกด ctrl+F10 จะแสดงผลดังรูป